การเกิดรอยแผลเป็นอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย ถ้าเกิดที่บริเวณผิวหน้ามักจะมาจากรอยสิว ที่อาจพาให้เกิดหลุมสิวและกลายเป็นรอยแผลไปยาวนาน แต่ถ้าเกิดบนร่างกายอาจเป็นจากการเกิดบาดแผลต่าง ๆ ที่ได้รับการดูแลไม่ดีเพียงพอ จนทำให้ผิวเสียหายและกลายออกมาเป็นแผลชัดเจน ซึ่งสาว ๆ ที่กำลังเผชิญปัญหานี้ไม่ต้องกังวลใจไป เพราะมีวิธีช่วยแก้ไขปัญหารอยแผลเป็นที่ทำให้รอยเจือจางลงได้ดีและได้ผลจริง เพียงทำตามอย่างต่อเนื่อง ได้ผิวสวยกลับมาแน่นอน
วิธีรักษารอยแผลเป็น
1.การใช้เจลซิลิโคนลดรอยแผลเป็น
เจลซิลิโคนลดรอยแผลเป็นอาจอยู่ในรูปแบบของยาทาหรือแผ่นซิลิโคนอ่อนนุ่มยืดหยุ่นสำหรับแปะลงบนผิวหนัง โดยมีวิธีการใช้คือทายาแปะแผ่นเจลซิลิโคนลงบนผิวหนังที่มีรอยแผลเป็น กรณีที่ใช้แผ่นแปะควรแปะทิ้งไว้วันละ 12 ชั่วโมง ติดต่อกันเป็นเวลาประมาณ 3 เดือน ตัวซิลิโคนจะออกฤทธิ์ช่วยให้แผลเป็นนุ่มและเรียบเนียนขึ้น รวมถึงอาจช่วยบรรเทาอาการคันที่เกิดขึ้นบริเวณแผลเป็นได้ด้วย
2.ใช้กรด AHA เข้มข้น
ลดปัญหารอยแผลเป็น ด้วยการใช้วิธีผลัดเซลล์ผิวจากกรด AHA ที่มีความเข้มข้นประมาณ 70% ทำเพียงสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ติดต่อกันประมาณ 1 เดือน จะช่วยทำให้รอยแผลลดลงและจางลงเรื่อย ๆ อย่างเห็นได้ชัด แต่ควรต้องใช้ร่วมกับการดูแลของแพทย์ผิวหนังหรือเภสัชกร เพื่อไม่ทำให้ผิวบริเวณอื่นต้องเกิดอาการระคายเคืองและไวต่อแสงแดดไปด้วย
3.พบแพทย์ผิวหนัง
ถ้าเป็นแผลเป็นแบบคีลอยด์ที่นูนออกมา หรือเป็นแผลที่ทำให้จางลงไปง่าย ๆ แนะนำการเข้าพบแพทย์ผิวหนัง เพื่อวิเคราะห์ดูว่าเหมาะสมต่อการทำหัตถการประเภทใด เช่น การใช้เลเซอร์เพื่อการลบรอยแผล กำจัดเม็ดสี หรือใช้การฉายรังสีเพื่อรักษาแผลเป็นที่เป็นรอยนูน และยังมีการผ่าตัดกับการฉีดฟิลเลอร์ การใช้เครื่องขัดผิว ที่จะเหมาะสำหรับแผลเป็นขนาดใหญ่ที่เป็นรอยหลุมลึกหรือเป็นรอยนูน ที่อาจใช้ครีมและวิธีอื่น ๆ ไม่ได้ผล
4.รับประทานวิตามินและโปรตีน
เพิ่มประสิทธิภาพของการรักษาแผลเป็นให้ดีมากขึ้น ด้วยการรับประทานวิตามินและแร่ธาตุเสริม เลือกรับประทานเป็นวิตามินอีที่จะเพิ่มความชุ่มชื้นและลดเลือนริ้วรอยที่เกิดขึ้นจากแผลเป็น รวมไปถึงการรับประทานวิตามินซี วิตามินบี 3 และรับประทานโปรตีนที่ถือเป็นส่วนช่วยสำคัญ ในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่ถูกทำลาย ช่วยสมานแผลและทำให้แผลเป็นดีขึ้นอย่างรวดเร็ว
5.ไม่เกาเด็ดขาด
ถ้าไม่ต้องการให้แผลเป็น กลายเป็นแผลที่มีสีเข้มขึ้น หรือเกิดการอักเสบติดเชื้อที่หนักกว่าเดิม เลี่ยงการแกะ แคะ หรือเกาบริเวณแผลเด็ดขาด ถ้ารู้สึกคันให้ใช้เพียงหลังมือลูบไปบริเวณแผลเท่านั้น ถ้ามีแผลที่หลุดลอกออกมา ให้แผลหลุดไปเอง ห้ามแกะเด็ดขาด
6.การฉีดคอร์ติโคสเตียรอยด์
การฉีดคอร์ติโคสเตียรอยด์มักใช้ในการรักษาแผลเป็นนูนหรือแผลเป็นคีลอยด์ เพื่อช่วยให้แผลเป็นที่นูนขึ้นมาจากผิวหนังยุบตัวลงและเรียบเนียนมากขึ้น รวมถึงอาจช่วยบรรเทาอาการคัน รอยแดง และอาการปวดแสบปวดร้อนของแผลเป็นได้ด้วย โดยปกติแล้วจะฉีดคอร์ติโคสเตียรอยด์ประมาณ 3 ครั้ง แต่จะเว้นระยะเวลาในการฉีดประมาณ 4–6 สัปดาห์ เพื่อประเมินการตอบสนองของแผลเป็นต่อตัวยาร่วมด้วย
แผลเป็นจะไม่ใช่เรื่องที่ทำให้รู้สึกวุ่นวายใจอีกต่อไป เพียงแค่ใช้ทั้ง 5 วิธีนี้ในการรักษารอยแผลเป็นบนผิว ให้ผลลัพธ์ที่ดีจริง ช่วยทำให้ผิวสวยขึ้นและเรียบเนียนกว่าเดิม ทำให้สาว ๆ ที่มีรอยแผลมั่นใจในตัวเองมากขึ้นได้
ที่มา : sanook.com
Facebook Comments