เชื่อว่าหลายคนคงเคยประสบอาการ “ปวดหลัง” จนกลายเป็นปัญหากวนใจมาแล้ว บางคนปวดมาก บางคนปวดน้อย บางคนมีอาการเป็นวันหรือเป็นเดือน ซึ่งมีปัจจัยมาจากหลายสาเหตุ โดยทั่วไปอาการปวดหลังที่ไม่อันตราย ส่วนใหญ่หากได้พักผ่อน อาการจะดีขึ้น และไม่กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน แต่เมื่อมีอาการปวดที่รุนแรงหรือมีอาการนานเป็นเดือน มักส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต และเกิดจากสาเหตุที่อันตราย
อาการปวดหลัง แบ่งเป็น 3 แบบตามระยะเวลา ดังนี้
- ปวดแบบเฉียบพลัน (acute) คือ มีอาการปวดต่อเนื่องน้อยกว่า 6 สัปดาห์
- ปวดแบบกึ่งเฉียบพลัน (subacute) คือ มีอาการปวดหลังต่อเนื่อง 6-12 สัปดาห์
- ปวดแบบเรื้อรัง (chronic) คือ มีอาการปวดหลังต่อเนื่องนานกว่า 12 สัปดาห์
![](https://www.thaibeautyhealthy.com/wp-content/uploads/2024/05/42175075_xxl-scaled-1-1024x683.jpg)
อาการปวดหลังส่วนบน
อาการปวดหลังส่วนบน มักเกิดร่วมกับอาการปวดคอ ส่วนใหญ่มีสาเหตุจากการใช้ท่าทางที่ไม่เหมาะสมระหว่างวันเช่น การนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือการก้มเล่นมือถือนานๆ ซึ่งเป็นสาเหตุของ “โรคออฟฟิศชินโดรม” อาการปวดหลังส่วนบนนี้ อาจพบได้ในโรคของกระดูกต้นคอ ที่ทำให้เกิดอาการปวดคอร่วมกับอาการปวดหลังส่วนบน
![](https://www.thaibeautyhealthy.com/wp-content/uploads/2024/05/59efbf0b-e38d-49e6-90f3-f853a20a678c.jpg)
อาการปวดหลังช่วงเอว หรือ อาการปวดหลังส่วนล่าง
อาการปวดหลังระดับเอว หรือ อาการปวดหลังส่วนล่าง (low back pain) เป็นอาการปวดที่พบบ่อยที่สุดของ “โรคทางออร์โธปิดิกส์” หรือ “โรคทางกระดูกและข้อ” โดยสาเหตุเกิดจาก 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ จากกล้ามเนื้อหลังและจากข้อต่อกระดูกสันหลัง โดยจะมีอาการปวดหลังบริเวณเอวต่ำกว่าขอบของซี่โครงซี่ล่างสุด จนถึงบริเวณสะโพกและก้น มีอาการมากขึ้นหรือลดลงสัมพันธ์กับท่าทางการเคลื่อนไหวหรือการทำงาน หรืออาจปวดตลอดเวลาโดยไม่สัมพันธ์กับท่าทาง บางรายอาจมีอาการปวดกลางคืนมากจนไม่สามารถนอนหลับได้ ทั้งนี้ ขึ้นกับพยาธิสภาพของโรคนั้นๆ
![](https://www.thaibeautyhealthy.com/wp-content/uploads/2024/05/back2.jpg)
อาการปวดหลัง “ด้านซ้าย” หรือ “ด้านขวา”
อาการปวดหลังด้านซ้ายหรือปวดหลังด้านขวา มักมีสาเหตุจากกล้ามเนื้อหลังผิดปกติ หรือกระดูกอ่อนอักเสบ, อุบัติเหตุ, การกระแทก, การเกร็ง หรือยกของหนัก และสาเหตุอื่นๆ เช่น แน่นหน้าอกจากสาเหตุทางโรคหัวใจ, หลอดเลือดแดงใหญ่ในช่องอก, กรดไหลย้อน, เยื่อหุ้มปอดอักเสบ, โรคไต, นิ่วในไต หรือปัญหาระบบทางเดินปัสสาวะ จึงแนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง
![](https://www.thaibeautyhealthy.com/wp-content/uploads/2024/05/backache-2.jpg)
สัญญาณเตือนอาการ “ปวดหลัง” แบบไหน ควรรีบไปพบแพทย์
อาการปวดหลังที่ควรรีบปรึกษาแพทย์ ได้แก่ อาการปวดหลังที่เป็นอยู่นาน และส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งมักมีอาการดังต่อไปนี้
- ปวดหลังส่วนล่างเรื้อรังนานมากกว่า 3 เดือน (chronic low back pain)
- มีอาการปวดรุนแรง พักหรือรับประทานยาแก้ปวดพื้นฐานแล้วไม่ดีขึ้น จนไม่สามารถทำงานหรือใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ
- ปวดร้าวลงมาต้นขา ขาหรือ ลงไปปลายเท้า ข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้าง
- มีความรู้สึกที่ผิดปกติ เช่น ชาขา เท้า หรือมีอาการแสบร้อน มีการอ่อนแรงของขา
- ไม่สามารถนั่ง หรือยืนเดินนานได้ ร่วมกับปวดร้าวลงขา
สำหรับอาการเหล่านี้ มักมีสาเหตุมาจาก “หมอนรองกระดูกสันหลัง” หรือ “ข้อต่อกระดูกสันหลัง” หรือ “โพรงประสาทหลัง” ไปเบียดหรือกดทับรากประสาทที่ลงมาขา จึงควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาโดยด่วน
และอีกหนึ่งอาการของโรคของกระดูกสันหลังที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ คือ “โรคโพรงประสาทหลังตีบแคบ” เกิดจากความเสื่อมของข้อต่อกระดูกสันหลัง (หมอนรองกระดูกเป็นส่วนหนึ่งของข้อต่อกระดูกสันหลัง) ทำให้โพรงประสาทแคบลงจนไปเบียดรากประสาทหรือเบียดไขสันหลังซึ่งพบบ่อยมากที่ข้อกระดูกสันหลังระดับเอว
![](https://www.thaibeautyhealthy.com/wp-content/uploads/2024/05/Teaser_AW_Website_โปวดสะโพกร้าวลงขา-อีกหนึ่งสัญญาณเสี่ยงโรคกระดูกสันหลัง-02-1024x576.jpg)
อาการ “โรคโพรงประสาทหลังตีบแคบ”
ผู้ป่วยมักมีอาการปวดหลังส่วนล่างร้าวลงมาสะโพก มีอาการร้าวลงมาขาข้างหนึ่งหรือสองข้าง บางครั้งมีอาการปวดร้าวลงไปปลายเท้า อาการจะเป็นมากขณะยืนหรือเดินเป็นเวลานาน บางครั้งมีอาการชาหรืออ่อนแรงขาร่วมด้วย ต้องก้มตัว, นั่งพัก บางคนต้องนั่งยองๆ เพื่อให้อาการดีขึ้นจนสามารถยืนและเดินต่อได้ อาการมักค่อยเป็นค่อยไป จนมากขึ้นจนทำให้ไม่สามารถยืนหรือเดินนานได้
ทั้งนี้ เมื่อตรวจร่างกายมักจะพบ หลังช่วงเอวแอ่นน้อยๆ หรือมีหลังค่อม ขยับหลังแล้วปวดร้าวลงขา ร่วมกับตรวจพบอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อที่เลี้ยงด้วยรากประสาทนั้นๆ หรือความรู้สึกที่ผิดปกติ เช่น ชาหน้าแข้ง หรือหลังเท้า
ส่วนการตรวจวินิจฉัยโรคโพรงประสาทหลังตีบแคบ มักใช้การถ่ายภาพรังสี จะพบความเสื่อมของหมอนรองกระดูกเอว ข้อต่อกระดูกสันหลัง บางครั้งพบความผิดรูปของข้อต่อ เช่น หลังคด (scoliosis), กระดูกเคลื่อน (spondylolisthesis) แพทย์อาจจะให้ผู้ป่วยขยับตัวขณะถ่ายภาพเอกซเรย์ (motion film) เพื่อประเมินความไม่มั่นคงของข้อต่อกระดูกสันหลัง โดยแพทย์อาจแนะนำการตรวจเอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อประเมินตำแหน่งที่รากประสาทถูกกดทับ ความเสื่อมหมอนรองกระดูกตลอดจนระดับความรุนแรงของการตีบของโพรงประสาท
![](https://www.thaibeautyhealthy.com/wp-content/uploads/2024/05/image-1-1024x683.jpg)
วิธีการรักษา “โรคโพรงประสาทหลังตีบแคบ”
เนื่องจากโรคนี้ส่วนใหญ่เกิดจากความเสื่อมตามอายุ หรือการใช้งานข้อต่อกระดูกสันหลังมากเป็นเวลานาน การลดการใช้งาน หลีกเลี่ยงท่าทางที่ไปกระตุ้นให้เกิดอาการ เช่น งดการยืนเดินเป็นเวลานาน, ทำการฟื้นฟู รวมทั้งกายภาพบำบัดเพื่อลดอาการปวด ปรับท่าทางการใช้งานหลังให้ถูกต้อง และเสริมสร้างกล้ามเนื้อที่สำคัญ ร่วมกับการรับประทานยาบางชนิดเป็นระยะเวลาหนึ่งตามคำแนะนำของแพทย์ จะทำให้อาการหายไปได้
ดังนั้น ถ้ามีอาการอ่อนแรงขามากจนเดินยืนไม่ได้ อาการปวดรุนแรงไม่ดีขึ้นจากการทานยา มีความไม่มั่นคงของข้อต่อหลัง หรือมีอาการผิดปกติของการขับถ่าย เช่น กลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ได้ ตลอดจนไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ แนะนำให้รีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อทำการรักษาด้วยการผ่าตัด
สุดท้ายนี้ เชื่อว่าทุกคนคงเคย “ปวดหลัง” จึงอาจคิดว่าอาการปวดหลังเป็นเรื่องปกติ ที่เป็นกันได้ และหายเองได้ บางคนใช้วิธีหายาแก้ปวดมารับประทานเพื่อให้อาการดีขึ้น หรือทายาแก้ปวด แต่หากมีอาการปวดหลังเรื้อรัง ปวดรุนแรง มีปวดร้าวไปที่ขาหรือเท้า มีอาการแสบร้อนหรือยืนหรือเดินไม่ได้ อาการเหล่านี้คงไม่ใช่แค่อาการปวดหลังธรรมดา เพราะอาการปวดหลังนี้อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงความผิดปกติหรือโรคต่างๆ ดังนั้นจำเป็นต้องรีบพบแพทย์ เพื่อวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้องต่อไป.
ที่มา : thairath.co.th
Facebook Comments