วันเสาร์ , กรกฎาคม 27 2024
Breaking News
Home / อาหาร / คีโตเจนิกไดเอ็ท สูตรลดน้ำหนัก

คีโตเจนิกไดเอ็ท สูตรลดน้ำหนัก

คีโตเจนิกไดเอ็ทหรือคีโตไดเอ็ท เป็นสูตรการกินที่ลดอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต เพื่อบังคับให้ร่างกายนำไขมันออกมาใช้เป็นแหล่งพลังงานหลักแทนที่จะเป็นกลูโคส ซึ่งกระบวนการนี้จะผลิตกรดที่เรียกว่าคีโตน (ketones) เมื่อระดับคีโตนสูงเพียงพอแล้วผู้บริโภคก็จะอยู่ในสภาวะคีโตซิส (ketosis) คีโตไดเอ็ทยังอาจถูกปรับใช้กับการรักษาทางการแพทย์ด้วย เช่น โรคลมชัก หรือการเจ็บป่วยทางระบบประสาท ผู้บบริโภคคีโตไดเอ็ทบางท่านยังใช้คีโตเจนิกไดเอ็ทในการลดน้ำหนักด้วย

คีโตเจนิก ไดเอ็ทสำหรับการลดน้ำหนัก

นักวิจัย และผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ ได้มีการใช้คีโตเจนิกไดเอ็ท เพื่อรักษาอาการป่วยบางอย่างตั้งแต่ช่วงปี 1920 แต่ในปัจจุบัน ผู้คนเริ่มหันมาใช้คีโตไดเอ็ท เพื่อการลดน้ำหนัก การกินอาหารแบบ Atkins Diet ได้กลายเป็นกระแสของการทานไขมันเพื่อลดไขมัน และเมื่อผู้บริโภคมากมายเริ่มประสบความสำเร็จกับสูตร Atkins แล้ว กระแสการกินนี้ก็ติดตลาดในที่สุด แล้วคีโตไดเอ็ททำงานยังไง? ผู้ที่บริโภคโดยใช้สูตรคีโตเจนิกไดเอ็ทส่วนใหญ่บริโภคแคลอรี่ 70-75%จากไขมัน 5-10%จากคาร์โบไฮเดรต และที่เหลือคือแคลอรี่จากโปรตีน พูดง่ายๆก็คือ ผู้บริโภคแบบคีโตจะรับประทานอาหารที่เป็นแหล่งไขมันมากๆอย่างชีส ถั่ว น้ำมัน ปลาที่มีไขมัน และเนื้อสัตว์
เมื่อคุณจำกัดปริมาณการบริโภคคาร์โบไฮเดรต ร่างกายคุณก็จะขายแหล่งพลังงานนั่นก็คือกลูโคส  ร่างกายจะเอาโปรตีนจากแหล่งพลังงานนี้มาใช้ แต่ถ้าคุณไปลดปริมาณโปรตีนด้วยแล้ว ร่างกายคุณก็จะถูกบังคับให้หันมาใช้ไขมันสะสมเพื่อเป็นแหล่งพลังงานหลักของร่างกาย เมื่อคุณใช้ไขมันเป็นเชื้อเพลิงให้ร่างกาย ร่างกายก็จะสร้างคีโตน เมื่อร่างกายเริ่มใช้ไขมันเป็นแหล่งพลังงานหลัก และคุณเริ่มสร้างคีโตนได้แล้ว คุณก็จะอยู่ในสภาวะคีโตซิส ผู้บริโภคสามารถทดสอบระดับคีโตนได้โดยใช้แถบตรวจปัสสาวะ แถบตรวจจเลือด หรือเครื่องตรวจจับลมหายใจ แต่คีโตนไม่สามารถผลิตได้ในทันทีเมื่อคุณเริ่มทานอาหาร และคุณต้องเข้มงวงกับแผนการกินของคุณพอสมควรเพื่อที่จะให้เข้าสู่สภาวะคีโตซิส “คนส่วนใหญ่ใช้เวลา 5-10 แต่นั่นก็อาจไม่ได้ช่วยอะไรถ้าพวกเขาไม่เข้มงวดกับการทานอาหาร”
ดร.กอร์ดอนเป็นนักการแพทย์แบบองค์รวมที่ปฏิบัตงานอยู่ในเมืองแอชแลนด์ รัฐโอเรกอน เธอบอกว่าเริ่มแรกเธอได้แนะนำการกินอาหารแบบคีโตเจนิกให้กับผู้ป่วยเพราะเหตุผลทางการแพทย์ และคนไข้รายนั้นประสบความสำเร็จในการใช้ แต่เธอกล่าวว่าถ้านำมาใช้ในการลดน้ำหนัก ผลที่ได้ก็อาจหลากหลายแตกต่างกันออกไป

แล้วคีโตเจนิกช่วยลดน้ำหนักได้จริงไหม?

มีการโต้เถียงกันอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับการใช้คีโตเจนิกไดเอ็ท ในการลดน้ำหนัก ผู้เชี่ยวชาญบางท่านกล่าวว่าการรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวมากเกินไปนั้นสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจได้ แต่บางคนก็พูดว่าการลดปริมาณคาร์โบไฮเดรต (โดยเฉพาะในรูปแบบที่เป็นพลังงานว่างเปล่าหรืออาหารพลังงานสูงแต่ไร้ประโยชน์) จะช่วยเสริมสร้างสุขภาพได้ แต่ก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทุกคนที่เห็นว่าการกินแบบคีโตเจนิกจะมีประสิทธิภาพในระยะยาว “ผู้บริโภคส่วนใหญ่จะพบว่าน้ำหนักพวกเขาลดลงในระยะเวลาอันสั้นเมื่อพวกเขากินอาหารแบบคีโตเจนิก” เขาบอกว่าส่วนใหญ่แล้วผู้ที่บริโภคแบบคีโตเจนิกจะผอมลงในช่วงแรกเนื่องจากพวกเขาสูญเสียน้ำ ตามที่ผู้เชี่ยวชาญบางท่านได้กล่าว คาร์โบไฮเดรตทุกๆกรัมที่คุณกินเข้าไปทำให้ร่างกายของคุณก็จะเก็บน้ำไว้ถึง 3 กรัม และเมื่อคุณกำจัดคาร์โบไฮเดรตไปจนหมด ร่างกายก็จะกำจัดน้ำออกไปด้วย ยิ่งไปกว่านั้น เขายังบอกว่าการจำกัดปริมาณการบริโภคคาร์โบไฮเดรต ก็แปลว่าส่วนใหญ่ผู้บริโภคกินอาหารน้อยกว่าปกติ ผลก็คือคนที่กินแบบคีโตเจนิกจะได้แคลิรี่น้อยลง

สรุปแล้วงานวิจัยบอกอะไรกับเรา? นักวิทยาศาสตร์พบว่าอาหารแบบไคโตเจนิกมักจะทำให้น้ำหนักลดในระยะสั้น แต่ยังไม่ทราบว่าทำไมถึงเกิดการสูญเสียไขมันขึ้นได้ นักวิจัยบางท่านคิดว่าอาหารไขมันสูงช่วยให้ผู้บริโภครู้สึกพอใจและลดความอยากอาหารได้ บางคนบอกว่ามีกลไกทางสมองที่เปลี่ยนไปเมื่อมีการใช้ไขมันเป็นแหล่งพลังงาน แต่นักวิจัยส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าการกินอาหารแบบคีโตเจนิกอาจจะมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่ก็ไม่สามารถการันตีได้ว่าจะช่วยในการลดน้ำหนักได้อย่างยั่งยืน

ผลข้างเคียงของการกินแบบไคโตเจนิก

ผู้บริโภคหลายคนพยายามอย่างยิ่งในการกินอาหารแบบคีโตเจนิกเป็นเวลามากกว่าหกเดือนถึงหนึ่งปี นี่อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผลการลดน้ำหนักในระยะยาวไม่สามรถสรุปได้ และผลข้างเคียงที่เกิดจากไคโตเจนิกก็ยังทำให้ยากต่อการพยายามรักษาการกินแบบนี้ต่อไป “มีไม่กี่คนที่สามารถทนกินอาหารแบบนี้ได้เป็นเวลานานๆ” “ถึงแม้ว่าบางคนจะบอกว่าพวกเขารู้สึกมีพลังมากขึ้น แต่คุณก็รู้สึกเหนื่อยกับสูตรการกินแบบนี้เหมือนกัน” เขาอธิบายว่าคาร์โบไฮเดรตเป็นแหล่งพลังงานหลักของสมอง ถ้าไม่มีคาร์โบไฮเดรต เราจะรู้สึกสะลึมสะลือ ฉุนเฉียวง่าย และจะเริ่มรู้สึกไม่ดี “มีการโต้เถียงกันว่าอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำได้ผลดีกับผู้หญิงจริงหรือไม่ และคนไข้ที่ฉันเจอส่วนใหญ่ที่อยากลดน้ำหนักก็เป็นผู้หญิง” เธอบอกว่าการยึดติดอยู่กับแผนการกินอาหารนั้นเป็นปัญหา หลังจากระยะการปรับตัว เธอบอกว่าหนึ่งในสามของคนไข้ของเธอน้ำหนักลด คนไข้คนอื่นๆก็ไม่เห็นว่าน้ำหนักพวกเขาลดหรือไม่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าการกินอาหารแบบนี้ช่วยได้จริงไหมเพราะมีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ผู้บริโภคสามารถประสบปัญหาเนื่องจากการขาดไฟเบอร์ในช่วงที่กินอาหารแบบไคโตเจนิกได้ เมื่อผู้บริโภคแทบจะไม่กินธัญพืช ทานผักผลไม้เพียงเล็กน้อย พวกเขาก็จะไม่ได้รับสารอาหารที่จำเป็นหลายอย่างเช่น ไฟเบอร์ ซึ่งร่างกายจำเป็นต้องใช้ในการทำงาน

ผลข้างเคียงอื่น ๆ อาจรวมถึง

  • ไข้หวัดคีโตน (ความรู้สึกสะลึมสลือทั่วๆไป)
  • อาการปวดหัว
  • อ่อนเพลีย
  • รู้สึกไม่ค่อยดี
  • มีกลิ่นปาก
  • อาการท้องผูก
  • นอนไม่หลับ
  • ความผิดปกติของฮอร์โมนที่อาจเกิดขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญยอมรับว่าผลข้างเคียงของอาหารแบบคีโตเจนิกจะพบบ่อยสุดในช่วงแรกๆที่เริ่มโปรแกรมการกินนี้ ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าเธออาจแนะนำคีโตซิสแบบต่อเนื่องเพื่อช่วยจัดการอาการเหล่านั้น โดยในโปแกรมนั้น ผู้บริโภคต้องฝึกการอดอาหารสัปดาห์ละสองครั้งเป็นเวลา 24 ชั่วโมงหรือ 16 ชั่วโมง โดยให้ทำบ่อยขึ้นเรื่อยๆ สุดท้าย ภาวะที่อันตรายที่สุดที่เรียกว่าภาวะคีโตซิส (ketoacidosis) อาจเกิดขึ้นได้ถ้าระดับคีโตนเพิ่มสูงมากเกินไปและเลือดกลายเป็นกรด ซึ่งสภาพการนี้ส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะเกิดในโรคเบาหวานประเภทที่2 และอาจส่งผลให้เกิดเบาหวานขั้นรุนแรงได้ ด้วยเหตุนี้ ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำให้ทดสอบระดับคีโตนเป็นประจำ

แล้วต้องกินคาร์โปไฮเดรตในอาหารแบบคีโตเจนิกมากเท่าไร?

ถ้าคุณกำลังพยายามลดน้ำหนักด้วยการกินแบบคีโต คุณอาจได้รับคำแนะนำในการกินคาร์โบไฮเดรตในจำนวนที่ขัดแย้งกัน แหล่งอ้างอิงบางที่บอกว่าคุณควรได้รับคาร์โบไฮเดรตไม่เกิน 20 กรัมต่อวันเพื่อให้เกิดคีโตซิส บางแห่งแนะนำให้คุณกินคาร์โบไฮเดรตโดยปริมาณสุทธิคือ 20 กรัมต่อวัน ขณะที่บางที่ก็แนะนำให้กินไม่เกิน 50 กรัมต่อวัน และหลายที่ก็แนะนำให้รับแคลอรี่จากคาร์โบไฮเดรตได้ไม่เกิน 5% ต่อวัน
รุ้สึกสับสนใช่ไหม ดร.กอร์ดอนอธิบายว่าปริมาณการกินคาร์โบไฮเดรตในอาหารคีโตที่ถูกต้องของแต่ละบุคคลนั้นจริงๆแล้วมีความแตกต่างกัน เธอเล่าถึงตัวอย่างคู่สามีภรรยาคู่หนึ่งที่ใช้การกินแบบคีโตเจนิกเพื่อลดน้ำหนัก “เธออยู่ในสภาวะคีโตซิสได้ด้วยการกินบลูเบอร์รี่ไม่เกิน 1/4ถ้วยต่อวัน ส่วนข้อจำกัดของผู้ชายคือบลูเบอร์รี่แค่ 1 ลูก” แล้วดร.กอร์ดอนแนะนำคนไข้ของเธออย่างไร? “แต่ละคนมีความแตกต่างกัน” เธอกล่าว “ฉะนั้นฉันจึงแนะนำให้พวกเขาได้ทดสอบการกินคาร์โบไฮเดรตปริมาณสุทธิ 20-30 กรัม ซึ่งจะช่วยให้พวกเค้าได้ปรับการกินได้อย่างเหมาะสม”

อาหารแบบคีโตมีแคลอรี่มากเท่าไร

เนื่องด้วยนักวิจัยไม่ได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าผู้บริโภคจะน้ำหนักลดด้วนการกินแบบคีโตเจนิกได้อย่างไร มันจึงเป็นเรื่องที่ไม่ชัดเจนว่าคุณควรจะนับจำนวนแคลอรี่ในแผนอาหารการกินของคุณดีหรือไม่ การค้นข้อมูลออนไลน์อย่างรวดเร็วจะปรากฎให้เห็นว่า สาวกคีโตต่างบอกว่าคุณต้องนับแคลอรี่และคาร์โบไฮเดรตเพื่อให้น้ำหนักลด และบางคนก็บอกว่าคุณจะกินมากเท่าไหร่ก็กินได้ตราบใดที่คุณยังคงรักษาปริมาณคาร์โบไฮเดรตได้ถูกต้อง
แล้วผู้เชี่ยวชาญล่ะ ว่ายังไง? “ธาตุอาหารหลักเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับการทานอาหารแบบนี้ เพราะคุณต้องลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตเพื่อให้ร่างกายของคุณเข้าสู่สภาวะคีโตซิส” จิม ไวท์กล่าว “แต่มันก็เหมือนกับเกมแคลอรี่อยู่เหมือนกัน มันมีความไม่ชัดเจนอยู่นิดหน่อยตรงที่ว่ามันเป็นการใช้คีโตนของร่างกาย การลดลงของน้ำหนักของน้ำ หรือการลดลงของแคอรี่กันแน่ที่ทำให้น้ำหนักลดลง แต่น้ำหนักอาจลดลงเพราะทั้งสามปัจจัยนี้ก็เป็นได้”

ถ้าคุณตัดสินใจที่จะลองลดนน้ำหนักด้วยการกินอาหารแบบคีโตเจนิก โปรดจำไว้ว่าคุณควรต้องทดสอบปริมาณคาร์ดบไฮเดรตและแคลอรี่เพื่อหาปริมาณที่สมดุลที่เหมาะกับคุณ และน้ำหนักคุณอาจมีความผันผวนในช่วงนี้ เมื่อคุณค้นพบระดับที่พอดีกับคุณแล้ว เติมเต็มห้องครัวของคุณด้วยอาหารคีโตที่ดีต่อสุขภาพและวางแผนมื้ออาหารให้ดีเพื่อให้คุณมีน้ำหนักตามที่วางเป้าหมายไว้ คุยกับผู้ที่ให้บริการดูแลสุขภาพของคุณด้วย หรือจะเป็นนักโภชนาการที่ได้รับการขึ้นทะเบียนถ้าหากคุณเกิดมีอาการที่น่ากังวล

 

ขอบคุณที่มาจาก : honestdocs.co

Facebook Comments

Check Also

กินดีเพื่อสุขภาพ

กินเพื่ออยู่อย่ …