อาหารบำรุงสมอง โปรไบโอติก DHA ขมิ้น น้ำมันมะพร้าว ALA และ วิตามินดี
สุขภาพสมองที่ดีเกี่ยวข้องกับกระเพาะอาหารและลำไส้มากกว่าที่คิด แบคทีเรียในระบบทางเดินอาหารช่วยสร้างวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยยับยั้งการติดเชื้อ นอกจากนั้นยังช่วยป้องกันเชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายต่อร่างกายอีกด้วย
ในหนังสือ Brain Maker: The Power of Gut Microbes to Heal and Protect Your Brain for Life ผู้เขียนได้อธิบายความเกี่ยวข้องระหว่างสุขภาพกับจุลินทรีย์หรือแบคทีเรียในระบบทางเดินอาหารของเรา โรคทางสมองเช่น อัลไซเมอร์ ออทิซึม ก็อาจเกิดจากแบคทีเรียในร่างกาย นอกจากนั้นผู้เขียนยังแนะนำเรื่องการกินอาหาร ที่จะช่วยมีเรามีสุขภาพที่ดีด้วย
ผู้เขียนอธิบายและช่วยให้เราเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพเรามากขึ้น เช่น บทบาทของแบคทีเรียในร่างกาย การอักเสบทั่วไปและการอักเสบในสมอง ผลร้ายของน้ำตาลฟรุกโตส
แบคทีเรีย
ในร่างกายเรามีทั้งแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและแบคทีเรียที่ทำร้ายเรา
สุขภาพสมองที่ดีเกี่ยวข้องกับกระเพาะอาหารและลำไส้มากกว่าที่คิด แบคทีเรียในระบบทางเดินอาหารช่วยสร้างวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยยับยั้งการติดเชื้อ และช่วยป้องกันเชื้อแบคทีเรียอื่นๆ ที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
ระบบทางเดินอาหารประกอบไปด้วยแบคทีเรียจำนวนมาก และมันมีบทบาทกับสุขภาพโดยรวมของเรา มันบอกได้ว่าเราจะอ้วนหรือผอม
90% ของแบคทีเรียที่อยู่ในร่างกายเรา มีอยู่ 2 กลุ่ม Firmicutes และ Bacteroidetes ถ้าในร่างกายมีแบคทีเรีย Firmicutes มากกว่า Bacteroidetes มันก็จะทำให้เราอ้วนได้
แบคทีเรียกลุ่ม Firmicutes มีส่วนเกี่ยวข้องกับการดึงพลังงานออกจากอาหารที่เรากินเข้าไป มันทำให้เราได้รับแคลลอรีมากขึ้น ตรงข้ามกับแบคทีเรียกลุ่ม Bacteroidetes ที่ไม่ค่อยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการดึงพลังงานจากอาหาร แต่ช่วยย่อยกากใย แป้งหรือสารประกอบคาร์โบไฮเดรตอื่น
แบคทีเรียในร่างกายช่วยแบ่งเบาภาระของตับ ระบบทางเดินอาหารเป็นเหมือน ตับที่สอง ของเรา
อาหารหลายอย่างที่เรากินเข้าไปอาจมีสารพิษ และเมื่อมันเข้าสู่ร่างกายตับก็ทำหน้าที่กำจัดสารพิษนั้น ถ้าระบบทางเดินอาหารของเรามีสุขภาพดี แบคทีเรียจะช่วยสลายพิษที่เข้าสู่ร่างกาย เป็นเหมือนปราการด่านแรก เป็นระบบป้องกันอีกชั้น ช่วยแบ่งเบาภาระของตับได้ ทำให้เรามีสุขภาพโดยรวมที่ดี
การอักเสบ
การอักเสบเป็นการตอบสนองของร่างกายที่ช่วยป้องกันเรา แต่มันก็ทำร้ายเราได้ด้วย
เมื่อเราโดนแมลงกัด ผิวหนังบริเวณนั้นจะมีผื่นแดงและอาจมีอาการคัน สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคือการอักเสบ เป็นขั้นตอนการป้องกันตัวของร่างกายเรา เป็นการตอบสนองของร่างกายเพื่อสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกันและช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับการติดเชื้อและการบาดเจ็บ
แต่การอักเสบรุนแรงหรือมากเกินไปก็เกิดผลร้าย น้ำตาลในร่างกายที่มีมากเกินไป ก็เพิ่มการอักเสบได้ เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูง มันจะเป็นพิษ ถ้าเซลล์ไม่สามารถจัดการกับมันได้ ก็จะทำให้เกิดสภาวะที่เรียกว่า Glycation ซึ่งน้ำตาลจะจับกับโปรตีนหรือไขมัน และทำให้เกิด Advanced glycation end-product ที่เป็นตัวการทำให้เกิดการอักเสบ
การอักเสบเรื้อรังเกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันทำงานสับสนและร่างกายเราเริ่มทำร้ายตัวเอง เพราะไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอันไหนคือเซลล์ร่างกายอันไหนคือเซลล์ศัตรู
ดังนั้นการอักเสบที่พอดีจะช่วยป้องกันร่างกาย แต่ถ้ามากเกินไปมันก็ส่งผลร้าย
การอักเสบในสมอง
ระบบทางเดินอาหารจะมีผนังเซลล์ ที่นอกจากจะทำหน้าที่ดูดซึมสารอาหารเข้าสู่ร่างกายแล้ว ยังเป็นระบบป้องกัน และช่วยปกป้องร่างกายจากสารพิษที่อยู่ในอาหารที่เรากินเข้าไปด้วย
แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ระบบป้องกันทำหน้าที่ได้ไม่ดี ถ้าระบบป้องกันอ่อนแอลง ก็จะทำให้แบคทีเรียร้ายหลุดรอดเข้าไปสร้างหายนะในร่างกายของเรา ทำให้เกิดการอักเสบ หรือเกิดภาวะสำไส้รั่ว ซึ่งนำไปสู่โรคอื่นๆ ได้อีก
ระบบทางเดินอาหารรั่วหรือลำไส้รั่ว ทำให้เกิดภาวะสมองรั่วได้ ถึงแม้ร่างกายจะมีชั้นที่ปกป้องสมอง แต่สมองก็ยังอาจได้รับอันตรายจากเชื้อร้ายที่เข้าสู่ร่างกายได้
ถ้าเชื้อร้ายเข้าสู่สมอง ก็จะทำให้เกิดการอักเสบในสมอง โรคหลายๆ อย่างก็จะเกิดขึ้นตามมา และมันจะเกิดขึ้นก่อนที่เราจะรู้สึกตัว เพราะสมองไม่มีตัวรับความรู้สึก ไม่เหมือนกับการอักเสบที่เกิดขึ้นบนผิวหนัง การอักเสบในสมองจะเกิดขึ้นแบบเงียบๆ
การอักเสบที่เกิดขึ้นในสมองเป็นอันตรายมาก มันทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ หรือโรคประสาทอื่นๆ พาร์คินสัน หรือโรคซึมเศร้า หรือแม้กระทั่ง ออทิซึม ก็อาจมีจุดเริ่มต้นจากระบบทางเดินอาหาร
น้ำตาลฟรุกโตส
น้ำตาลฟรุกโตส ที่อยู่ในผลไม้และเครื่องดื่มที่ช่วยเติมความสดชื่น เช่น น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง ชาพร้อมดื่ม ถึงแม้ว่าน้ำตาลฟรุกโตสจะมีค่า Glycemic index (GI) ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับน้ำตาลชนิดอื่น แต่การบริโภคน้ำตาลชนิดนี้มากเกินไปก็อาจทำให้เกิด ภาวะดื้ออินซูลิน ได้ ซึ่งเป็นภาวะที่ความสามารถในการจัดการกับน้ำตาลต่ำลง และเป็นสาเหตุทำให้เกิด โรคเบาหวาน หรือโรคความดันสูงได้
การบริโภคน้ำตาลฟรุกโตสปริมาณมากเป็นอันตรายต่อตับ เพราะตับเป็นอวัยวะที่ต้องย่อยน้ำตาลฟรุกโตส โดยการเปลี่ยนให้เป็นไขมัน
คนที่ติดน้ำตาล คือคนที่ต้องการความสดชื่น คนที่เชื่อว่าตนเองต้องการพลังงาน เพื่อให้ทำงานได้ต่อ แต่การอาศัยเครื่องดื่มให้พลังงาน ในระยะยาวจะส่งผลเสีย คือทำให้ร่างกายอ่อนแรง
อาหารที่ให้แคลอรี่มีอยู่หลายชนิด และแคลอรี่ที่ได้รับจากน้ำตาลก็คือสิ่งที่แย่ที่สุดที่เราให้กับร่างกายของเรา
บางคนติดน้ำตาลมาก และถึงแม้จะพยายามเลิกแต่ก็ยังกลับมากินเหมือนเดิม และมันก็ไม่ใช่เพราะเราห้ามใจตัวเองไม่ได้อย่างเดียว เป็นเพราะอาหารบางอย่างที่มีน้ำตาลมันไปป่วนสมองเรา
มนุษย์วิวัฒนาการมากับความชื่นชอบอาหารที่มีรสหวาน อาหารที่มีไขมัน และอาหารที่มีรสเค็ม อาหารที่มีรสหวานจะให้พลังงาน อาหารที่มีไขมันก็ให้แคลลอรีมาก และอาหารที่มีรสเค็มทำให้เราต้องดื่มน้ำ ผู้ผลิตอาหารต่างก็รู้ดีและนำมาใช้เป็นกลยุทธ์ที่สร้างความได้เปรียบในเชิงธุรกิจ
ตอนที่เรากินช็อกโกแลตแท่ง สมองเราจะหลั่งโดปามีน สารสื่อประสาทที่ทำให้เกิดความพึงพอใจ ยิ่งเรากินช็อกโกแลตมากขึ้น เราก็ต้องการโดปามีนมากขึ้น ทำให้เราติดและต้องกินช็อกโกแลตมากยิ่งขึ้น
ฮอร์โมนอินซูลิน ทำหน้าที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด การกินอาหารที่มีน้ำตาลมากเป็นประจำทำให้เกิดผลร้าย อาจทำให้เกิดโรคเบาหวาน อินซูลินควรจะป้องกันโดยบอกร่างกายให้เก็บน้ำตาลส่วนเกินไว้ในรูปแบบของไกลโคเจน เพื่อเก็บไว้ใช้งานในตอนที่ร่างกายจำเป็น
แต่ถ้าเรายังกินน้ำตาลเยอะๆ เมื่อไกลโคเจนถูกเติมจนเต็ม ร่างกายเราก็จะเก็บน้ำตาลส่วนเกินนั้นไว้ในรูปแบบไตรกลีเซอร์ไรด์หรือไขมัน และไปทำให้ฮอร์โมน Leptin เสียสมดุล
ฮอร์โมน Leptin บอกสมองให้หยุดกินอาหารเมื่อเราอิ่ม แต่ถ้าเรากินน้ำตาลมากไป สมองเราจะไม่สามารถอ่านระดับของฮอร์โมน Leptin ได้ถูกต้อง และทำให้เกิดภาวะดื้อ Leptin และทำให้เรากินมากขึ้น เพราะเราจะไม่รู้สึกอิ่มในตอนที่เราควรอิ่มได้แล้ว
และถ้าสมองเราไม่รู้ระดับของฮอร์โมน Leptin ที่ถูกต้อง สมองอาจคิดว่าเราผอม และขับดันให้ร่างกายสร้างไขมันมากขึ้น
เซลล์ในร่างกายอาจได้รับอันตรายจากการที่ร่างกายได้รับพลังงานจากน้ำตาล ดังนั้นเซลล์จะปกป้องตัวเองโดยการดื้ออินซูลิน แต่สมองเราก็ยังพยายามที่จะหลั่งอินซูลินออกมามากขึ้น และทำให้เราเกิดอาหารเวียนหัว เหมือนตอนที่ไม่ได้กินข้าว เพราะร่างกายเราคิดว่าต้องการพลังงาน
กลูเตน
สารประกอบที่พบในอาหารอีกอย่างที่เป็นอันตรายต่อร่างกายคือ กลูเตน ซึ่งเป็นโปรตีนที่พบในเมล็ดพืชหรือธัญพืช โดยพบได้ในอาหารหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นพิซซ่า พาสต้า ไอศครีม หรือแม้กระทั่งในเครื่องสำอาง
คนที่แพ้กลูเตนจะเพิ่มการอักเสบในร่างกาย และทำให้เกิดโรคทางสมองได้ ถ้าเรากังวล หรือมีความเสี่ยงว่าจะแพ้กลูเตน เราก็ควรงดอาหารจำพวกนี้ลง หรือไปตรวจให้แน่ใจ
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับอันตรายจากกลูเตนได้ในหนังสืออีกเล่ม Grain Brain: The Surprising Truth about Wheat, Carbs, and Sugar–Your Brain’s Silent Killers
สะอาดเกินไป
การใช้สารฆ่าเชื้อมากเกินไป ก็อาจทำให้แบคทีเรียกลุ่มที่มีประโยชน์ในร่างกายถูกทำลายไปด้วย สารฆ่าเชื้อมีประโยชน์และช่วยชีวิตคน แต่ถ้าใช้มากเกินความจำเป็น มันก็อาจไปทำลายแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในร่างกายของเราด้วยเช่นกัน เปิดโอกาสให้แบคทีเรียร้ายเข้ามาแทนที่และเพิ่มจำนวนมากขึ้น
อาหารหมักดอง
ในระหว่างขั้นตอนการทำอาหารหมักดอง แบคทีเรียจะสร้างวิตามินบี 12 ให้เกิดขึ้น ในขั้นตอนนี้น้ำตาลจะถูกเปลี่ยนให้เป็นกรดแลกติค มันจะเพิ่มจำนวนแบคทีเรียที่มีประโยชน์ หรือโปรไบโอติก ซึ่งจะช่วยปกป้องร่างกายจากอาหารที่เป็นพิษหรือจากแบคทีเรียอันตรายอื่นๆ ได้
โปรไบโอติก มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย เช่น ช่วยเพิ่มวิตามินในร่างกาย ลดการอักเสบและลดระดับของแบคทีเรียที่ทำร้ายกระเพาะและลำไส้
การกินอาหารหมักดองจะช่วยให้ร่างกายเรารักษาแบคทีเรียที่มีประโยชน์ มากกว่าการกินอาหารเสริมเพียงอย่างเดียว
การอดอาหาร
การอดอาหารจะช่วยให้ร่างกายทำงานได้ดี เราอาจทำได้โดยการลดปริมาณอาหารลง หรืองดอาหารเป็นเวลา 24-72 ชั่วโมง (Intermittent fasting) การอดอาหารจะช่วยเพิ่มระดับการตอบสนองต่ออินซูลิน (Insulin sensitivity) ช่วยชะลอวัย ทำให้ร่างกายสลับไปใช้พลังงานจากไขมัน ช่วยให้ลดน้ำหนักลงได้
อาหารเสริมบำรุงสมอง
ไม่มีอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน อาหารที่มีประโยชน์สำหรับบางคน ก็อาจทำให้เกิดการแพ้ในบางคนได้ เช่น คนที่แพ้นมก็คงไม่สะดวกที่จะกินโยเกิร์ต ดังนั้นอาหารเสริมจึงเป็นอีกทางเลือก
ในหนังสือ Brain makerBrain Maker: The Power of Gut Microbes to Heal and Protect Your Brain for Life ผู้เขียนได้แนะนำอาหารเสริมบำรุงสมองไว้ 6 อย่าง ได่แก่ โปรไบโอติก DHA ขมิ้น น้ำมันมะพร้าว ALA และ วิตามินดี
โปรไบโอติก
แบคทีเรียแต่ละกลุ่มให้ประโยชน์ที่แตกต่างกันออกไป โปรไบโอติก 5 กลุ่มที่สำคัญได้แก่
- Lactobacillus plantarum
- Lactobacillus acidophilus
- Lactobacillus brevis
- Bifidobacterium lactis
- Bifidobacterium longum
ประโยชน์ที่เราจะได้รับจากแบคทีเรียเหล่านี้ เช่น
- เสริมสร้างผนังลำไส้และลดการดูดซึมของสาร
- ลด Lipopolysaccharide (LPS) โมเลกุลอันตรายหากเข้าสู่กระแสเลือด
- เพิ่ม BDNF โกรทฮอร์โมน ในสมอง
- ช่วยควบคุมจำนวนแบคทีเรียที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
การกินอาหารเสริมโปรไบโอติกที่ได้ผล เราก็ควรกินอาหารที่มีโปรไบโอติกด้วย เช่น กิมจิ โยเกิร์ต กะหล่ำปลีดอง เพื่อให้มั่นใจว่าแบคทีเรียที่เรากินเสริมเข้าไป มันจะตั้งรกรากและอยู่ในร่างกายเราได้
Docosahexaenoic acid (DHA)
เป็นหนึ่งในอาหารเสริมที่เป็นที่นิยมที่ช่วยบำรุงและปกป้องสมอง
90% ของกรดไขมัน Omega-3 ในสมองคือ DHA และถ้าคิดตามน้ำหนัก 50% ของเยื่อหุ้มเซลล์ของ Neuron ประกอบไปด้วย DHA
แหล่งอาหารธรรมชาติที่อุดมไปด้วย DHA คือนมแม่
ขมิ้น
ขมิ้นอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและสารต้านการอักเสบ และนอกจากนั้นยังเพิ่มจำนวนเซลล์ในสมองอีกด้วย
Curcumin สารประกอบสีเหลืองที่อยู่ในขมิ้น ที่ช่วยกระตุ้นให้ยีนส์สร้างสารต้านอนุมูลอิสระเพื่อปกป้อง Mitochondria นอกจากนั้นยังช่วยเพิ่มระดับเมตาบอริซึมหรือการเผาผลาญกลูโคส ช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้มีความสมดุล
น้ำมันมะพร้าว
น้ำมันมะพร้าวประกอบไปด้วยกรดไขมัน เช่น Lauric acid และ caprylic acid น้ำมันมะพร้าวนอกจากจะเป็นแหล่งพลังงานของสมองแล้ว ยังช่วยป้องกันเชื้อร้าย ป้องกันการอักเสบ ป้องกันและรักษาโรคทางสมอง เช่น อัลไซเมอร์ได้ด้วย
Alpha-lipoic acid ALA
กรดไขมัน Alpha-lipoic acid ชนิดนี้พบได้ทั่วไปในเซลล์ของร่างกาย มีความจำเป็นสำหรับการสร้างพลังงานเพื่อป้อนให้ร่างกายทำงานได้ตามปกติ นอกจากนั้นยังทำงานเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในสมองอีกด้วย
ร่างกายเราสามารถสร้างกรดไขมันชนิดนี้ได้เพียงพอต่อความต้องการอยู่แล้ว ยกเว้นสำหรับบางคนที่มีพฤติกรรมการกินอาหารไร้ไขมันหรือกินอาหารที่ไม่เหมาะสม
วิตามินดี
วิตามินดี เป็นวิตามินที่ถูกสร้างขึ้นได้เองในร่างกาย ร่างกายเราสร้างวิตามินดีตอนที่ผิวหนังได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ นอกจากวิตามินดีจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับระดับแคลเซียมในร่างกายและสุขภาพกระดูกแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อส่วนอื่นๆ ของร่างกายอีกด้วย โดยเฉพาะสมอง วิตามินดีช่วยปรับเอนไซม์ในสมองและ Cerebrospinal fluid ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสารสื่อประสาท นอกจากนั้นวิตามินดียังช่วยลดการอักเสบและปกป้อง Neuron จากอนุมูลอิสระ
เราอาจเข้าใจว่าร่างกายได้รับแสงแดดอย่างเพียงพอ แต่ความเป็นจริงคือ เรามีพฤติกรรมหลีกเลี่ยงการได้รับแสงแดด โดยเฉพาะคนที่ทำงานอยู่ในออฟฟิสทั้งวัน จึงอาจมีปัญหาการขาดวิตามินดีได้ เราจึงควรไปตรวจระดับวิตามินดีและอาจต้องกินอาหารเสริมด้วย
ผักใบเขียว
งานวิจัยในผู้สูงอายุ (58–99) ที่ใช้เวลาเกือบ 5 ปี และตีพิมพ์ในวารสาร Neurology ปี 2017 พบว่าสารอาหารที่อยู่ในผักใบเขียวช่วยให้สมองอ่อนเยาว์ลงได้ 11 ปี และอาจช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อมได้
ประโยชน์ของการกินผักใบเขียวคือเราจะได้รับสารสำคัญเช่น Folate Lutein และ Nitrate ที่มีส่วนช่วยชะลอการเสื่อมลงของสมอง โดยอาจช่วยป้องกันการอักเสบ ป้องกันและซ่อมแซมเซลล์ที่เสียหายในสมอง ลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด ลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองที่จะไปทำให้เกิดโรคสมองเสื่อม
ประโยชน์ของการกินผักอีกอย่างคือมันจะทำให้เรากินอาหารอย่างอื่นได้น้อยลง ทำให้เรากินอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล เกลือ หรือไขมัน ได้น้อยลง ทำให้เรากินอาหารที่มีส่วนประกอบของสารปรุงแต่งสีสังเคราะห์อาหาร ทำให้ได้รับสารพิษและสารเจือปนในอาหารน้อยลง
ถึงแม้กินผักเป็นประจำอาจไม่ได้ช่วยเราป้องกันโรคสมองเสื่อมในวันนี้ แต่กินสลัดทุกวันก็ยังเป็นเรื่องที่ดี
นอกจากเราจะได้รับประโยชน์ทันทีจากการกินผักและออกกำลังกายเป็นประจำ ในระยะยาวเราก็ยังได้รับประโยชน์อีกด้วยเช่นกัน และการกินผักก็เป็นเรื่องง่าย หาซื้อได้ง่าย และไม่ต้องกังวลเหมือนการกินอาหารเสริม
สรุป
กระเพาะและลำไส้มีความเกี่ยวข้องกับสมองมากกว่าที่เราเคยรู้ ระบบทางเดินอาหารที่ผิดปกติทำให้เกิดโรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคทางสมองได้ เราสามารถป้องกันหรือแก้ไขได้ด้วยการดูแลรักษาสมดุลของแบคทีเรียที่มีประโยชน์ ระมัดระวังเรื่องการกินอาหาร ลดปริมาณอาหารประเภทแป้งลง แล้วเพิ่มอาหารที่มีโปรไบโอติกหรือแบคทีเรียที่มีประโยชน์ แล้วก็กินสลัดวันละมื้อ
บางคนตอนเด็กๆ ไม่ชอบกินผัก ตอนนี้ก็ยังไม่ชอบกินผัก ควรคิดทบทวนใหม่ได้แล้ว เพราะตอนนี้เราไม่ใช่เด็กๆ โตแล้ว กินผักได้แล้ว
ไขมันก็สำคัญเพราะให้พลังงานที่ดีกว่าพลังงานจากคาร์โบไฮเดรต กินอาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ที่พบได้ในน้ำมันมะกอก กินอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว เช่น ไข่หรือเนย บางคนอาจจะยังติดใจและเชื่อว่าไขมันอิ่มตัวในอาหารทุกอย่างจะทำให้หลอดเลือดอุดตัน หลักฐานที่ทำให้เกิดความเชื่อนั้นล้าสมัยและถูกหักล้างไปแล้ว
Omega-6 เป็นตัวเพิ่มการอักเสบ ส่วน Omega-3 เป็นตัวต้านการอักเสบ การอักเสบที่เกิดขึ้นอาจทำให้เกิดโรคหัวใจหรืออัลไซเมอร์ได้ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงไขมันที่มีสัดส่วนของ Omega-6 สูง เช่น น้ำมันจากเมล็ดดอกทานตะวัน น้ำมันถั่วเหลือง
หลีกเลี่ยงไขมันทรานส์หรือไขมันสังเคราะห์ที่พบได้ในอาหารที่ผ่านกระบวนการ หลีกเลี่ยงไขมันอื่มตัวที่พบได้ในอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่ผ่านกระบวนการ เช่น อาหารเช้าซีเรียล ไขมันอิ่มตัวในอาหารผ่านกระบวนการจะทำให้เกิดภาวะดื้ออินซูลินและทำให้เกิดการอักเสบได้
ขอบคุณที่มาจาก : nicetofit.com
Facebook Comments